ถ้าเกิดว่ามีคนมาถามว่าหุ้นตัวไหนคือหุ้นที่ดี แข็งแกร่ง มั่นคงมีการเติบโตให้นักลงทุนชื่นใจได้เสมอ ทุกคนคงสามารถตอบได้อย่างเร็วเลย ตัวอย่างหุ้นที่เราอาจจะได้ยินอาจจะเป็น AOT, CPALL, HMPRO, BDMS, BEM, MINT, CENTEL เป็นต้น จะเห็นได้ว่า หุ้นที่ดีนั้นหาได้ไม่ยากเท่าไหร่ นักลงทุนทุกคนรู้แน่นอน แต่ว่าปัญหาที่สำคัญของพวกเราก็คือ แล้ว “หุ้นพวกนี้แพงเกินไปหรือยัง?”

เพราะว่าการซื้อหุ้นที่ดีแต่ว่าแพงเกินไปนั้น ผลที่ตามมามักจะไม่สวย เพราะ จะทำให้เราขาดทุนได้เหมือนกรณีที่เคยเกิดขึ้นในช่วงกลางปีที่ผ่านมา ที่มีหุ้นหลายๆตัวพุ่งทะยานขึ้นมาอย่างเร็ว ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน แต่ในเวลาไม่นานมูลค่าก็ลดลงกลับเข้ามาสู่สภาวะปกติ ดังนั้นนี้จึงเป็นบทเรียนที่ดีที่สอนให้เรารู้ว่าต่อให้เป็นหุ้นที่ดี ถ้าเราซื้อในราคาที่ผิดโอกาสที่เราขาดทุนก็สูง ดังนั้นการที่เราซื้อในราคาที่เหมาะสมเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับนักลงทุนมาก โดยส่วนตัวแล้วอยากแนะนำให้นักลงทุนทุกคนตอบคำถามให้ได้ว่า “หุ้นที่เรากำลังจะซื้ออยู่นั้นมีราคาที่เหมาะสมเท่าไหร่?” เพราะว่า

  1. หลีกเลี่ยงการพลาดโอกาสในจากการทำกำไรจากการรีบขาย หรือ ซื้อหุ้นที่ในราคาที่แพงเกินไปทำให้ขาดทุน
  2. เมื่อหุ้นลง เราก็จะยิ้มได้ เพราะว่า เราจะสามารถซื้อของดีได้ในราคาที่ถูก

ซึ่งทั้งหมดทั้งสิ้นที่กล่าวมา จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ เรารู้ราคาที่เหมาะสมของหุ้นตัวนั้น แล้วเราจะรู้ราคาหุ้นที่เหมาะสมได้อย่างไร

วิธีที่มักจะใช้ในการบอกว่าหุ้นแพงหรือถูก

ในปัจจุบันวิธีการหามูลค่ายอดนิยมนั้นจะมีอยู่ 2 วิธีด้วยกันนั้นก็คือ

1. การใช้ค่า PE

ค่า PE หรือ “ราคาหุ้น / กำไรต่อหุ้น” เป็นตัวที่บ่งบอกว่าถ้าเกิดว่าเราซื้อหุ้นตัวนี้ไปแล้ว เราจะใช้เวลากี่ปีในการคืนทุน โดยหลักการแล้ว ถ้ายิ่งตัวเลขตรงนี้ต่ำมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะว่าเมื่อเรานำเงินไปลงทุนกับธุรกิจไปแล้วเราต้องการคืนทุนให้ไวที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ซึ่งค่า PE นั้นเป็นที่นิยมมากเพราะว่าสามารถหาได้ง่าย โดยสามารถดูได้จากเว็บของตลาดหลักทรัพย์ แต่ว่าในความง่ายนี้เองก็มาพร้อมกับข้อจำกัดด้วย นั้นก็คือ “อัตราส่วนนี้ไม่สามารถใช้วัดหุ้นที่กำไรเติบโตสูงได้” เพราะว่า นักลงทุนจะมีการให้ราคาหุ้นที่สูงสำหรับหุ้นเติบโต ผลลัพธ์คือค่า PE จะออกมาดูแพงมาก เช่น 30 เท่า, 70 เท่า, 100 เท่า เป็นต้น ซึ่งเรื่องนี้เป็นปัญหามาก เพราะว่า หุ้นพวกนี้เป็นหุ้นที่นักลงทุนส่วนใหญ่ชอบลงทุนมาก เพราะว่า ราคาหุ้นจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างหวือหวา

2. การใช้ราคาในอดีต

สมมุติฐานของเรื่องนี้ง่ายๆก็คือ ถ้าในอดีต ราคาหุ้นเป็นเท่าไหร่ อนาคตราคาก็ควรกลับไปเท่าเดิม ซึ่งเรื่องนี้ฟังดูเป็นเหตุเป็นผล แต่ว่ามันมีปัญหาใหญ่ๆ หลายๆเรื่องซ่อนอยู่ภายใต้สมมุติฐานตัวนี้

อย่างแรกก็คือ อดีต ไม่ได้บ่งบอกถึงอนาคต การที่บริษัททำได้ดีในสมัยก่อนไม่ได้หมายความว่าในอนาคตเขาจะต้องดีด้วย เมื่ออนาคตไม่จำเป็นต้องดี นั้นก็หมายความว่าราคาหุ้นนั้นก็อาจจะไม่กลับมาเช่นกัน

อย่างที่สอง คือ ราคาที่ลงมักจะมีเหตุผลในตัวของมันเองเสมอ เช่น คดีความฟ้องร้องค่าเสียหายแพงๆ, ผู้บริหารเอารัดเอาเปรียบผู้ถือหุ้น, สงครามราคา, อุตสาหกรรมถดถอย เป็นต้น ซึ่งเรื่องราวพวกนี้เป็นเรื่องราวที่พวกนักลงทุนเช่นพวกเราควรหลีกเลี่ยง ดังนั้นการที่บอกว่าราคาหุ้นอาจจะขึ้นไปยังจุดเดิมจึงอาจจะไม่ถูกต้องซะทีเดียว

แล้วในเมื่อวิธีการประเมินมูลค่าหุ้นที่ผ่านมามีปัญหาแล้ววิธีการไหนละที่เราแนะนำ? โดยส่วนตัวเราขอแนะนำตัวที่มีชื่อว่า “Discount Cash Flow”

การคิดลดกระแสเงินสด หรือ Discount Cash Flow (DCF)

ซึ่งหลักคิดของวิธีการนี้ก็ง่ายๆคือในอนาคต “ธุรกิจจะทำเงินให้เราได้เท่าไหร่ เอามารวมกันและคิดให้เป็นมูลค่าเงินปัจจุบันต่อหุ้น” เราจะได้ราคาหุ้นที่ควรจะเป็นออกมา ซึ่งวิธีการนี้เป็นวิธีการที่เป็นเหตุเป็นผลมากที่สุด ส่งผลให้ DCF ตัวนี้เป็นเครื่องมือหลักที่นักวิเคราะห์ทั่วโลกใช้ในการประเมินมูลค่าหุ้น

ซึ่งวิธีการคิดแบบตรงๆนั้นค่อนข้างมีความยากลำบาก เพราะว่าต้องใช้ตัวแปรอย่างเช่น ต้องมานั่งหากระแสเงินสดอิสระ (FCF) ในแต่ละปีออกมา โดยใช้ตัวแปรต่างๆเข้ามาคิดเช่น Capital Expense, Working Cap, Depreciation, Amortization, การเติบโตและอื่นๆ ถ้าอยากได้ช่วงเวลาสัก 10 ปีก็ทำ 10 ครั้ง หลังจากนั้น ต้องนำมาเข้าสูตรคิดลดกระแสเงินสดเพื่อปรับให้ทั้งหมดเป็นมูลค่าปัจจุบัน หลังจากนั้นก็นำมาหารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมด ถึงจะได้ออกมาเป็นราคาหุ้น ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้ใช้เวลาพอสมควร

แล้วมีวิธีหาแบบเร็วๆกว่านั้นไหม ทางเราลงทุนหุ้น By stocklittle ได้พัฒนาเครื่องมือในการหา DCF ซึ่งแจกสำหรับคนที่มาอบรมกับเราฟรี ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นโดยการทำเป็นตาราง โดยสิ่งที่นักลงทุนต้องทำก็คือการ กรอกข้อมูลลงในช่องสีเหลือง เช่น การเติบโต, ผลตอบแทนที่เราต้องการลงไป

หลังจากนั้นโปรแกรมจะคำนวณตัวเลขออกมาให้แบบอัตโนมัติ ซึ่งเราสามารถมาปรับแก้สมมุติฐานของเราได้ง่าย เช่น ถ้าการเติบโตของบริษัทเปลี่ยนจาก 10% เป็น 20% ไม่จำเป็นต้องไปนั่งคำนวณใหม่ทั้งหมด เพียงแค่ปรับแก้ตัวเลขเล็กน้อยเราก็จะได้ราคาหุ้นเป้าหมายทันที

ช่วงขายของ คอร์สอบรมสอนเล่นหุ้น

StockLittle ลงทุนหุ้น ได้เปิดสอนคอร์สวิธีการวิเคราะห์หุ้น โดยได้รวบรวมเนื้อหาทั้งหมดที่เกี่ยวกับหุ้นมาไว้ในเคอร์สนี้ แบบครบจบในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาด้านการประเมินธุรกิจ, การอ่านงบการเงิน, การหาปัจจัยเร่งราคาหุ้น, วิธีการหาราคาหุ้นแบบต่างๆ เช่น หุ้นปันผล, หรือหุ้นเติบโตโดยใช้ไฟล์ คำนวณง่ายๆ

สามารถสมัครได้ด้านล่าง หรือถ้าต้องการโหลดไฟล์ตัวอย่างที่จะมีการประเมินหุ้นปันผลสามารถโหลดได้เชนกัน