งบ TNR Q1 ออกมาแล้ว ตามที่ลงทุนหุ้นเคยคาดการณ์กันไว้ในเพจเอาไว้ว่ามันต้องแย่แน่นอน แต่เราเองก็ไม่คิดว่าจะแย่ขนาดนี้ กำไรของปี 2559 Q4 อยู่ที่ 49.6 ล้านบาท กำไรปี 2560 Q1 ลดลงมาเหลือ 3.4 ล้านบาท หรือว่าคิดเป็นลดลงมาถึง 93.14% เยอะจนน่าใจหาย!!! เดี๋ยวเราจะมาวิเคราะห์กันว่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? โดยแยกเป็น 2 ส่วนก็คือ สิ่งที่บริษัทแจ้งต่อตลาดและบทวิเคราะจากเรา StockLittle.com (ลงทุนหุ้น)
(โอ้ลั่นล้า!)
สิ่งที่บริษัทแจ้งต่อตลาด
รายได้ที่ลดลงของบริษัท
รายได้จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่น ภายใต้เครื่องหมายการค้า Onetouch ลดลง 5.2 ล้านบาทในประเทศลดลงเพราะว่าไม่ได้จัดแคมเปญทางการตลาด (ความเห็น: เจลหล่อลื่นไม่จัดคนก็ซื้อนะเจอคู่แข่งหรือเปล่า?) ส่วนที่ต่างประเทศลดลงเพราะว่าคนที่ซื้อเป็นลูกค้ารายย่อยซื้อไม่สม่ำเสมอ
(เขียนได้งงจับใจมาก ยอดขายเราลดลงแต่ยอดขายเราเพิ่มขึ้น คืออะไร???)
ธุรกิจ OEM ลดลง 35.8 ล้านบาท
แอฟริกาลดลง 5.3 ล้านเพราะรัฐเขาไม่มีนโยบายให้เงินสนับสนุนมาซื้อถุงยาง หายไป 20.3 ล้านแต่ได้ที่เอทิโอเปียมา 15.2 ล้าน (หักลบกันก็หายไป 5 ล้าน)
อเมริกา ลูกค้ารายนึงใน Q1 ไม่ซื้อแต่ว่าใน Q2 มีคำสั่งให้ซื้อ 19.3 ล้านชิ้นใน Q2 แต่ได้ลูกค้าอื่นๆมาเพิ่ม 18.5 (ถัวๆกันก็เท่าเดิม)
เอเชีย ลดลง 12.7 ล้าน ชะลอการซื้อบ้างซื้อสินค้าที่ถูกลงบ้างแต่ได้เพิ่มมาอีกหน่อยบวกลบกันก็ลดลงอยู่ดี
ยุโรปลดลง 17 ล้านให้เหตุผลว่ามีสินค้าเก็บไว้เพียงพอ
รายได้จากงานประมูลลดลง 7 ล้าน
เหตุผลคือ ราคาประมูลเฉลี่ยลดลงต่ำ 18.2% แม้ว่าปริมาณการขายไม่ลด
งานประมูลที่อเมริกาส่งมอบได้ช้า
ต้นทุนสินค้าที่ไม่ลดลงตาม
ราคาน้ำยางที่ปรับตัวสูงขึ้น
เครื่องจักรยังต้องดำเนินการต่อ, ลูกน้องก็ยังต้องจ้าง ต้นทุนปรับลดไม่ได้มาก ต้นทุนเฉลี่ยของสินค้าเลยปรับตัวสูง
ค่าใช้จ่ายในการขายที่เพิ่มขึ้น 4.8 ล้าน เป็นกิจกรรมทางการตลาด
ค่าใช้จ่ายในการบริหารที่ลดลง 5.4 ล้าน เพราะไม่ต้องตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ
ขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน 3 ล้าน
สิ่งที่เราลงทุนหุ้นวิเคราะห์
บริษัทอิงกับสินค้าโภคภัณฑ์-ต้นทุนสินค้าที่ลดลงไม่ได้
บริษัทนี้รายได้เกือบทั้งหมดมาจากถุงยาง เมื่อเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ราคาน้ำยางธรรมชาติปรับตัวเพิ่มขึ้นไปมาก ชาวพี่น้องสวนยางพอใจชื้นกันขึ้นมาบ้าง แต่ว่าในทุกเรื่องที่มีคนได้ประโยชน์เมื่อมองอีกมุมหนึ่งก็ต้องมีอีกคนเสียประโยชน์เช่นกัน ซึ่งคนที่เสียประโยชน์นั้นก็คือ TNR ที่เขาต้องใช้น้ำยางธรรมชาติมากในการผลิตถุงยาง และเราเชื่อว่านี้คือสาเหตุหลักที่ทำให้กำไรของเขาร่วงลงมาก (ต้นทุนอื่นๆไม่ค่อยปรับเพิ่มเท่าไหร่) อีกทั้งเขาเป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับโรงงาน โรงงานจะมีค่าใช้จ่ายทางด้านเครื่องจักร, คนที่ต้องดำเนินการผลิตอยู่ตลอด ไปลดหรือปรับอะไรไม่ได้มาก ค่าใช้จ่ายคงที่จะสูง บริษัทที่เป็นโรงงานอย่างนี้กำไรจะดีก็ต่อเมื่อมีงานล้นมือ คนและเครื่องจักรจ่ายเท่าเดิม แต่เพิ่มกำลังการผลิต ต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยจะลดลงแต่ TNR ไม่ได้เป็นอย่างนี้
รายได้ที่ไม่มีความแน่นอน
เขาเคยไปออกรายการ TV อยู่ช่องหนึ่งรายการเขาก็อวยใหญ่เลยว่าจำหน่ายถุงยางมีโอกาศเติบโตมากตามสภาวะเศรษฐกิจของโลก (ตลาดที่โตแต่ว่าเขาจะชิงมาได้หรือเปล่านั้นคืออีกเรื่อง), ทำแบรนด์ของตัวเองต้องไปได้สวยหรู แต่ แต่ว่าเขาไม่ได้มองหรือว่าสัดส่วนที่เขาทำแบรนด์ของตัวเองเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก น้อยจริงๆ ส่วนที่สร้างรายได้ให้แก่เขามากจริงๆคือการประมูลและงาน OEM, จากผลงานที่ผ่านมางาน OEM ของเขาค่อนข้างที่จะลุ่มๆดอนๆ เดี๋ยวมาเดี๋ยวหายไม่ค่อยแน่นอน, งานประมูลภาครัฐก็ขึ้นอยู่กับสภาวะทางเศรษฐกิจและราคาประมูลมันก็จะเกี่ยวข้องกับการแข่งขันทางด้านราคา พักหลังๆไม่ค่อยเห็นประกาศเรื่องงานใหญ่ๆออกมาเท่าไหร่
คำถามที่เรามีต่อ TNR
เพื่อให้เรามองเห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้นเราจะไปมองที่คู่แข่งสำคัญของเขาคือ Karex Industries SdnBhd เป็นผู้ผลิตถุงยางจากมาเลเซียเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลก (TNR เป็นเบอร์ 2) คำนวนด้วยค่าเงินในตอนนี้เขาใหญ่กว่า TNR 2 เท่า แต่เนื่องจากมาเลเซียมีปัญหาเรื่องค่าเงินอย่างหนัก ถ้าเกิดว่าใช้ค่าเงินในอดีตที่ 10 บาทต่อ 1 ริงกิต ก็ใหญ่กว่า TNR เกือบ 3 เท่า
คำถามที่ 1 จาก StockLittle (ลงทุนหุ้น)
เนื่องจากบริษัทนี้คือบริษัท OEM และประมูลงาน เรามองว่าจุดชี้เป็นชี้ตายของธุรกิจก็คือ “ต้นทุนสินค้า”
คำถามของเราที่มีต่อ TNR คำถามแรกก็คือ “เขามีความสามารถในการแข่งขันทางด้านต้นทุนหรือเปล่า?” (ด้านคุณภาพถุงยางอันนั้นต้องมีอยู่แล้ว ถ้าไม่มีก็ขายไม่ได้)
คำถามที่ 2 จาก StockLittle (ลงทุนหุ้น)
กำไรสุทธิของบริษัท Karex เพิ่มขึ้นในช่วงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2013 เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับราคายางพาราที่ลดลง กำไรสุทธิของเขาอยู่ที่เกือบ 20% ในปี 2016 ในขณะที่ TNR อยู่ที่ 15% คำถามข้อแรกก็คือ “ทำไมเขาถึงบริหารจัดการแล้วเหลือกำไรมามากกว่า?”
คำถามที่ 3 จาก StockLittle (ลงทุนหุ้น)
ต่อมาเรามาดูที่รายได้ของบริษัทคู่แข่งของเขาเติบโตเฉลี่ย 10 กว่าเปอร์เซ็นตลอด แต่ช่วงหลังๆมาชะลอลงบ้าง แต่ในทางกลับกันเมื่อมามองที่ TNR รายได้ลดลงจาก OEM บ้างจากการประมูลลงบ้าง คำถามที่สำคัญของ ก็คือ “เขาสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดไปให้ Karex หรือเปล่า?” จากการที่ Karex สามารถบริหารจัดการได้ดีกว่า ต้นทุนที่ต่ำกว่า เขาเลยสามารถประมูลงานจากภาครัฐจากประเทศต่างๆได้ และ OEM ต่างๆก็ต้องวิ่งเข้าหาเขาเพราะว่าเขาทำต้นทุนได้ถูกที่สุด เพราะว่าธุรกิจถุงยางนี้มันเป็นธุรกิจที่แข่งขันกันในระดับโลกแบบเสรี ไม่มีกำแพงอะไรกีดกั้น คราวนี้เมื่อคู่แข่งเขาโหดกว่าเขาก็สามารถชิงส่วนแบ่งได้ง่าย ผลก็คือคู่แข่งโตขึ้นในขณะที่ TNR เหนื่อยขึ้นเรื่อยๆ