สรุปหุ้นเคอรี่ 3 สิ่งที่ควรรู้ก่อนลงทุน
ปัจจุบันกระแสออนไลน์กลายมาเป็นเทรนด์ที่สำคัญของโลกและส่งผลต่อธุรกิจมหาศาล บริษัทหรือหุ้นใดที่เกาะกระแสนั้นไปได้จะสร้างผลตอบแทนที่งดงาม ตัวอย่างที่เราจะเห็นหุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวขึ้นอย่างมาก ตัวอย่างเช่นในรอบ 5 ปี หุ้นเฟซบุ๊กนี้สร้างผลตอบแทนได้ 297%, อเมซอน สร้างผลตอบแทน 561%, อาลีบาบา สร้างผลตอบแทน 353% และนี้ยังไม่รวมหุ้นตัวอื่นๆอีกมากที่สร้างผลตอบแทนที่ดี
กลับมาดูที่ตลาดหุ้นไทยหุ้นตัวหนึ่งที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และเกาะติดไปกับกระแสการเติบโตนั้นก็คือ บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KEX) ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ส่งพัสดุให้กับร้านค้าออนไลน์ เรามาติดตามกันว่าหุ้นตัวนี้มีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้น่าลงทุน
บริษัทเติบโตไปพร้อมกับกระแสการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
พวกเราได้ยินกันมาแล้วว่ากระแสอีคอมเมิร์ซกำลังมาแรงและเติบโตรวดเร็ว แล้วคำถามที่น่าสนใจก็คือว่าจากวันนี้ไปกระแสนี้จะเติบโตไปได้อีกขนาดไหนนี้คือตัวเลขที่น่าสนใจ
ตัวเลขหนึ่งที่บอกถึงการเติบโตได้ดีก็คือจำนวนพัสดุต่อหัวประชากร ข้อมูลนี้มาจากทาง Frost & Sullivan Analysis ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ตัวเลขพัสดุต่อหัวประชากรของไทยอยู่ที่ 11.5 กล่องต่อคน/ปี ในปี 2019 ซึ่งตัวเลขนี้หากน้ำไปเทียบกับประเทศอื่นจะเห็นว่าค่อนข้างแตกต่างเป็นอย่างมาก โดยตัวอย่างเช่นในประเทศจีน ตัวเลขนี้จะอยู่ที่ 44 กล่อง, อเมริกา 41 กล่อง, เกาหลีใต้ 49 กล่อง หรือประเทศญี่ปุ่นที่ตัวเลขนี้จะสูงถึง 86 กล่องต่อหัวประชากรเลยทีเดียว จากข้อมูลตรงนี้เราก็สามารถตีความได้ว่าประเทศของเรานั้นก็สามารถที่จะเติบโตไปอยู่ที่จุดนั้นได้เช่นกัน อย่างน้อยๆที่สุดก็คืออีกประมาณ 4 เท่าตัว ซึ่งทาง Frost & Sullivan Analysis ก็ได้ให้ข้อมูลไว้ว่าในช่วงประมาณปี 2019-2024 นี้ตัวเลขตรงนี้จะเติบโตประมาณ 22.1% ต่อปีแบบทบต้น ตัวเลข 22.1% ต่อปีนี้เป็นตัวเลขที่มากและจะส่งผลต่อการเติบโตของบริษัทเคอรี่เช่นกัน
อีกหนึ่งในตัวเลขที่น่าสนใจก็คือตัวเลขอัตราส่วนค้าปลีกออนไลน์และออฟไลน์ ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขที่บอกว่าสัดส่วนของการค้าปลีกในประเทศมีกี่เปอร์เซ็นต์ที่เป็นออนไลน์ ถ้าเกิดว่าตัวเลขนี้น้อยนั้นหมายความว่าโอกาศที่ธุรกิจออนไลน์จะเติบโตนั้นก็มีสูง เราจะเห็นว่าประเทศของเราในปี 2021 นั้นจะอยู่ที่ประมาณ 5.2% เท่านั้น และจะค่อยๆเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ 26.7% แบบทบต้น ไปจนกระทั้งถึงปี 2024 ซึ่งในประเทศที่พัฒนาแล้วตัวเลขตรงนี้สัดส่วนการค้าปลีกออนไลน์ต่อออฟไลน์จะอยู่ที่ประมาณ 25% นั้นหมายความว่าโอกาสในการเติบโตมีอยู่ถึง 5 เท่าตัวเลขทีเดียว
และนี้คือประเด็นแรกที่ทำให้บริษัทน่าสนใจมันเกิดมาจากอุตสาหกรรมในประเทศกำลังเติบโต
บริษัทเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม
หลักการที่สำคัญอย่างหนึ่งในการลงทุนก็คือเลือกผู้นำในตลาด เพราะผู้นำมักจะมีสินค้าหรือบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้มากกว่า ทำให้บริษัทที่เป็นผู้นำมักจะสามารถกินส่วนแบ่งการตลาดคู่แข่งและสร้างการเติบโตได้มากกว่า
บริษัทเคอรี่เป็นผู้นำทางด้านการขนส่งเอกชนและเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในตลาดไทยในตอนนี้ โดยเราสามารถที่จะดูได้จากข้อมูลของทาง Frost & Sullivan Analysis เรื่องของจำนวนการส่งพัสดุต่อวัน ในปี 2019 โดยเฉลี่ยแล้วบริษัทได้ส่งพัสดุ 1,100,000 ล้านกล่องต่อวัน มากกว่าคู่แข่งอันดับสอง 3.9 เท่าตัว และมากกว่าคู่แข่งอันดับสาม 11 เท่าตัว เรียกได้ว่าห่างกันมหาศาล และในช่วงจุดสูงสุดต้องคัดแยกถึง 1,600,000 กล่องต่อวัน ครอบคลุมทุกภาคส่วนของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นภาคส่วน ธุรกิจส่งถึงธุรกิจ (B2B), ธุรกิจส่งถึงลูกค้า (B2C), ลูกค้าส่งถึงลูกค้า (C2C) โดยมีจุดให้บริการทั่วประเทศไทย 15,901 จุด ศูนย์กระจายพัสดุกว่า 1,200 แห่ง ครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดของประเทศไทย
อีกตัวเลขหนึ่งที่ย้ำถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจก็คือจำนวนรถขนส่ง ซึ่งตัวเลขรถขนส่งนี้เป็นตัวเลขที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะว่าจะบอกถึงความสามารถในการจัดส่งสินค้าไปยังลูกค้าว่าทำได้มากขนาดไหน โดยในปี 2019 บริษัทมีรถขนส่งมากถึง 25,350 คัน มากกว่าของคู่แข่งอันดับสอง 2.5 เท่า และมากกว่าอันดับสาม 3.6 เท่าตัว
จากข้อมูลทั้งหมดทำให้เราสามารถสรุปได้ว่าปัจจุบันทางบริษัทได้เป็นผู้นำทางด้านขนส่งอย่างแท้จริง
บริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง
รายได้ย้อนหลัง 3 ปี ของทางบริษัทเคอรี่มีรายละเอียดดังนี้
ปี 2560 รายได้ 6,626.41 ล้านบาท กำไรสุทธิ 730.26 ล้านบาท
ปี 2561 รายได้ 13,565.35 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,185.10 ล้านบาท
ปี 2562 รายได้ 19,781.93 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,328.55 ล้านบาท
บริษัทได้เติบโตทุกปีเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับอุตสาหกรรม โดยรายได้ 3 ปีนี้ได้เติบโตทบต้นถึง30.29% และถ้าหากคิดตั้งแต่ปี 2557 ตัวเลขนี้จะขึ้นไปสูงถึง 73.51% อัตรากำไรมีการเติบโตจาก 730.26 ล้านบาทต่อปีมาอยู่ที่ 1328.55 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตแบบทบต้นที่ 22.08% ต่อปี
และถ้าหากดูงบกระแสเงินสดเราจะเห็นสิ่งที่น่าสนใจมากกว่า
ในปี 2561 บริษัทมีกำไรก่อนภาษีเงินได้ 1,467 ล้านบาท เงินสดได้มาจากกิจกรรมดำเนินงาน อยู่ที่ 1,904 ล้านบาท
ในปี 2562 บริษัทมีกำไรก่อนภาษีเงินได้ 1,652 ล้านบาท เงินสดได้มาจากกิจกรรมดำเนินงาน อยู่ที่ 2,228 ล้านบาท
กระแสเงินของทางบริษัทเรียกได้ว่าแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่าบริษัทต้องลงทุนเป็นจำนวนมากเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจไม่ว่าจะเป็นศูนย์คัดแยกและรถ ทำให้บริษัทมีค่าเสื่อมราคาที่สูงมากตามไป และอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดที่ดีมากขนาดนี้นั้นก็เพราะว่าธรรมชาติของธุรกิจที่โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นรายย่อยทำให้บริษัทสามารถที่จะเก็บเงินสดได้ทันทีก่อนที่จะเริ่มดำเนินการขนส่ง จากปัจจัยเรื่องของกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งนี้เองทำให้บริษัทไม่มีหนี้สินที่เป็นเงินกู้ธนาคารเลย หรือเราอาจจะเรียกได้ว่าบริษัทที่การเงินแข็งแกร่งปลอดหนี้ก็ได้
จากข้อมูลตรงนี้นำมาสู่คำถามที่ว่า
แล้วเราควรที่จะลงทุนในบริษัทแห่งนี้ไหม ?
ข้อมูลที่ได้กล่าวถึงไปด้านบน อ่านๆดูแล้วก็พบกว่าบริษัทเคอรี่เป็นบริษัทที่น่าสนใจ เพราะดูในแง่มุมไหนก็ดูเป็นบริษัทที่แข็งแกร่ง, เติบโตดี, มีฐานะทางการเงินมั่นคง แต่ประเด็นก็คือข้อมูลเหล่านี้ก็ยังไม่เพียงพอต่อการตัดสินใจลงทุน นั้นก็เพราะว่า
ปัจจัยข้อที่ 1 ทุกคนสามารถที่จะเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ ข้อมูลเหล่านี้เราสามารถที่จะหาได้จาก 56-1, Filling หรือข่าวที่บริษัทเคอรี่แถลงออกมาได้ง่าย ๆ ซึ่งข้อมูลที่เป็นสาธารณะขนาดนี้มักจะสะท้อนเข้าไปในราคาหมดแล้ว เป็นไปได้ยากมากที่จะนำไปใช้ในการทำกำไร ซึ่งเราจะสามารถที่จะดูได้จากค่า PE 67 เท่า มูลค่าบริษัท 1 แสนล้านบาท ตัวเลขนี้บ่งบอกถึงความคาดหวังของตลาดได้เป็นอย่างดี
ปัจจัยข้อที่ 2 ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลในอดีต ข้อมูลที่เราเห็นมักจะเป็นอดีตเสมอ มันเป็นข้อมูลที่บอกว่าอดีตบริษัทเคอรี่เป็นอย่างไร แต่การลงทุนในหุ้นนั้นเราต้องมองไปยังอนาคต อดีตที่ดีไม่ได้หมายความว่าอนาคตจะต้องดีเสมอไป เราสามารถที่จะเห็นหุ้นหลายตัวที่อดีตสวยงามแต่ปัจจุบันราคาหุ้นลดลงอย่างมหาศาล
แล้วเราต้องมีข้อมูลแบบไหนถึงจะตัดสินใจลงทุนได้และประสบความสำเร็จในตลาด
3 ข้อมูลที่จะทำให้การลงทุนประสบความสำเร็จ
และเหนือกว่าตลาด
การที่จะลงทุนหุ้นให้ประสบความสำเร็จนั้น ข้อมูลที่เราควรจะรู้ก่อนลงทุนมีอยู่ 3 ข้อมูลที่สำคัญนั้นก็คือ
ข้อมูลเกี่ยวกับอนาคตของบริษัท
การซื้อหุ้นนั้นคือการซื้ออนาคต เราต้องประเมินให้ออกว่าบริษัทเขาจะเป็นอย่างไรในอนาคต เพราะว่าท้ายที่สุดเจ้ามือที่พลักดันให้ราคาหุ้น ก็คือผลกำไรของบริษัทที่ได้สร้างขึ้นมา การที่เรามีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล มีภาพในอนาคตที่แม่นยำมากกว่า จะส่งผลให้การลงทุนของเราดีตามไปด้วย ซึ่งนี้เป็นจุดที่คัดนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จและนักลงทุนที่ล้มเหลว ซึ่งนี้เป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนพลาดเพราะมีวิสัยทัศน์ที่ไม่กว้างไกลมากพอ
ตัวอย่างเหตุการณ์ในอดีต
– หากเรามีข้อมูลเกี่ยวกับอนาคตการเติบโตของอุตสาหกรรมมือถือ และมีวิสัยทัศน์ว่าสิ่งนี้กำลังจะมา การลงทุนกับ JMART เราจะได้รับผลตอบแทน 1150%
– หากเรามีข้อมูลเกี่ยวกับอนาคตการท่องเที่ยวไทย และมีวิสัยทัศน์ว่าสิ่งนี้กำลังจะมา การลงทุนกับ AOT จะให้ผลตอบแทน 1540%
– หากเรามีข้อมูลเกี่ยวกับการเติบโตของสังคมเมือง + รายได้ต่อหัวประชากรเติบโต และมีวิสัยทัศน์ว่าสิ่งนี้กำลังจะมา การลงทุนกับ CPALL จะให้ผลตอบแทน 680%
แล้วหุ้นบริษัทเคอรี่จะเป็นเช่นไร นี้คือสิ่งที่นักลงทุนต้องหาคำตอบก่อนลงทุนให้ได้
ข้อมูลเกี่ยวกับราคาหุ้นที่เหมาะสม
ปัจจัยต่อมาที่มีความสำคัญมากก็คือเรื่องของราคาหุ้น ราคาหุ้นนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะจะเป็นตัวที่จะบอกว่าเราจะกำไรมากขนาดไหนจากหุ้น ต่อให้เป็นบริษัทที่ดีมาก แต่เราเข้าซื้อในราคาที่แพงเกินไปผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะเป็นการขาดทุนที่มหาศาลเช่นเดียวกัน หากเรามีข้อมูลเกี่ยวกับราคาหุ้นที่เหมาะสมเราก็สามารถที่จะทำกำไรได้อย่างแม่นยำและลดโอกาศในการขาดทุน
และประโยชน์ของการมีข้อมูลเกี่ยวกับราคาหุ้นที่เหมาะสมก็คือ การรู้จังหวะในการลงทุน เราสามารถที่จะรู้จุดเข้าซื้อที่เหมาะสมได้ ทำให้เราได้ของถูก ได้กำไรได้ตามเป้าหมายที่เราต้องการ และสามารถที่จะขายได้เมื่อหุ้นขึ้นมาถึงราคาที่เหมาะสม ทำให้เราทำกำไรได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่เผลอขายออกไปก่อน ทำให้พลาดโอกาสในการทำกำไรให้มากขึ้น นอกเหนือไปจากนี้แล้ว การที่เรามีข้อมูลเกี่ยวกับราคาหุ้นที่เหมาะสมจะทำให้เราไม่แตกตื่นในตอนที่เกิดวิกฤติเกิดขึ้น เพราะว่าในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤติ ราคาหุ้นมักจะตกลงอย่างมหาศาล ก่อให้เกิดความกลัวเพราะขาดทุนเยอะและทำให้ขายหุ้นออกไป ซึ่งถ้าหากเรามีข้อมูล และเราเข้าใจ จุดนี้จะเป็นจุดที่เราสามารถยิ้มได้และเปลี่ยนจากวิกฤติให้กลายเป็นกำไรมหาศาลแทน
แล้วบริษัทเคอรี่มีราคาหุ้นที่เหมาะสมเป็นเท่าไหร่ นี้คือข้อมูลที่นักลงทุนต้องหาคำตอบก่อนลงทุน
ข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยง
สุดท้ายก็คือข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยง ความเสี่ยงนี้ฟังดูโดยทั่วไปแล้วอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญเท่าไหร่ และดูไกลตัวจากการลงทุน แต่ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้หากต้องการลงทุน ความเสี่ยงนั้นจะมีตั้งแต่ความเสี่ยงเล็ก ๆ ที่ไม่ได้สำคัญอะไรมาก ไปจนกระทั้งถึงความเสี่ยงขนาดใหญ่ที่จะทำให้ธุรกิจนั้นล่มสลายไปเลยก็มีเช่นเดียวกัน ซึ่งความเสี่ยงเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องใส่ใจมาก เพราะจะทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนลดลงอย่างมหาศาล
ความเสี่ยงนี้จะสามารถมาได้หลากรูปแบบไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกฎหมาย, การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาครัฐ, คู่ค้ารายใหญ่, วัตถุดิบ, หนี้สิน และอื่นๆอีกมากมาย ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ บริษัท ไดอะล็อก เซมิคอนดักเตอร์ เป็นผู้ออกแบบชิฟให้กับทาง iPhone ก่อนหน้านี้ก็เติบโตมาอย่างสวยงาม รายได้ 70% มาจากทาง บริษัท แอปเปิล ต่อมาทางบริษัทแอปเปิล ได้ออกมาให้ข่าวว่าเราจะไม่จ้าง บริษัท ไดอะล็อก เซมิคอนดักเตอร์ออกแบบชิฟให้กับทางบริษัทอีกต่อไป ส่งผลให้หุ้นตกลงทันที 50% ภายใน 3 วัน นี้คือตัวอย่างความน่ากลัวของความเสี่ยง ซึ่งเราไม่ต้องการให้เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นกับหุ้นที่เราถือ
แล้วบริษัทเคอรี่มีความเสี่ยงอะไรที่น่ากังวลหรือเปล่า นี้คือข้อมูลที่นักลงทุนต้องหาคำตอบก่อนลงทุน
แล้วเราจะรู้ข้อมูลพวกนี้ได้อย่างไร เพื่อที่จะสามารถตัดสินใจลงทุนได้