ธุรกิจของบริษัทเริ่มต้นก่อตั้งโดยคุณประจักษ์ ตั้งคารวคุณ เพื่อนำเข้าสีจากประเทศญี่ปุ่นในปี 2507 ต่อมาในปี 2515 ได้เริ่มต้นก่อตั้งโรงงานแห่งแรกขึ้นมาที่สำโรงและในปี 2520 ได้เริ่มก่อตั้งบริษัทและแบรนด์ TOA ขึ้นมา โดยในช่วงนั้นได้ชูจุดเด่นว่า สีไม่มีสารตะกั่ว ปรอทและโลหะหนักทำให้ประสบความสำเร็จพอสมควรและเมื่อเวลาผ่านไป ทางบริษัทก็ได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นผู้ครองตลาดสีอันดับ 1 ของไทยด้วยส่วนแบ่งการตลาด 48.7% มากกว่าเบอร์ 2 ถึง 3 เท่าตัว มีโรงงานผลิตสี 8 แห่ง ใน 6 ประเทศ และทางบริษัทยังครองส่วนแบ่งทางการตลาดของสีในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึง 13% เรามาทำความรู้จักบริษัทนี้ให้มากขึ้นก่อนจะลงทุน โดยเริ่มจากเขาทำธุรกิจอะไร?

ธุรกิจและสินค้าของ TOA

TOA เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสีและสารเคลือบผิว โดยสามารถที่จะแบ่งออกได้ 2 ส่วนคือ ผลิตภัณฑ์สีทาอาคารและผลิตภัณฑ์สี, สารเคลือบผิวและผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นๆ

สีทาอาคาร

หลักๆคือมีหน้าที่ปกป้องพื้นผิวจากมลภาวะต่างๆและแต่งให้อาคารสวยงาม แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆได้แก่เกรดพรีเมียม, เกรดปานกลางและเกรดอีโคโนมี ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา รายได้จากกลุ่มนี้สร้างรายได้ 68.9% ให้กับทางบริษัท ปัจจุบันบริษัทมีตราสินค้าทั้งหมด 114 ตามสินค้า มี 9,168 SKUs ตราสินค้าที่เป็นที่รู้จักของบริษัทได้แก่ TOA, Super Shield, 4Season, Super Tech, Super Matex, KOBE, เป็ดหงส์

ผลิตภัณฑ์สี, สารเคลือบผิวและผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นๆ

กลุ่มนี้จะมีสารเคลือบผิวสำหรับงานไม้, เคมีก่อสร้าง เช่น ทำให้ผิวฉาบเรียบ อุดรอยต่อ, สีความทนทานสูง เช่น สีที่ต้องเอาไปใช้กับเรือ, สีตกแต่งที่มีลวดลายพิเศษและกลุ่มอุปกรณ์ รายได้ 6 เดือนที่ผ่านมา คิดเป็นรายได้ 27.5% มีตราสินค้าทั้งหมด 89 ตราสินค้า มี 2775 SKUs มีแบรนด์ที่เรารู้จักกันเช่น TOA, HeavyGuard,  Win, Kobe

 

ส่วนแบ่งการตลาด

บริษัท TOA ครองส่วนแบ่งทางการตลาดของสีในไทย 48.7% ซึ่งถือว่าสูงมากทิ้งห่างจากเบอร์ 2 ถึง 3 เท่าตัว ตลาดสีทาบ้านในไทยในปี 2559 มีมูลค่า 19,201.3 คาดการณ์ว่าในปี 2564 น่าจะเติบโตเป็น 24,603.2 ล้านบาท กลุ่มสารเคลือบและอื่นๆ คาดการณ์ว่าจะโตจาก 6,376.9 เป็น 8,852.7 ล้านบาทในปี 2564

ในตลาดอาเซียนบริษัท TOA ครองส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 13% บริษัท TOA ได้เข้าไปจัดจำหน่ายแล้วใน 5 ประเทศคือ เวียดนาม, ลาว, กัมพูชา, มาเลเซีย, เมียนม่าร์

เวียดนามเป็นตลาดที่น่าสนใจ เพราะสร้างรายได้คิดเป็นครึ่งหนึ่งของรายได้จากต่างประเทศของบริษัท ซึ่งตลาดสีเวียดนามมีมูลค่าอยู่ที่ 9,475 ล้านบาท ในปี 2559 และคาดการณ์ว่าในปี 2564 จะมีมูลค่า 15,157 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตแบบทบต้นที่ 9.9%

สิ่งที่น่าสนใจในตลาดสีก็คือ ปริมาณการบริโภคสีของคนในประเทศพัฒนาแล้ว ในประเทศนอร์เวย์ มีการใช้สีถึง 20 ลิตรต่อคน, สิงคโปร์ 15 ลิตรต่อคน ไทย 8 ลิตรต่อคน และในประเทศแถบเอเชียแปซิฟิก มีการบริโภคอยู่ที่ 4.7 ลิตรต่อคน แสดงให้เห็นว่าตลาดสียังคงมีการเติบโตอีกมากในแถบเอเชียแปซิฟิก

 

ช่องทางการจัดจำหน่าย

ช่องทางการจัดจำหน่ายของบริษัท TOA สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ช่องทางใหญ่ๆ ได้แก่ ผู้ค้าปลีก, ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) และ ช่องทางอื่นๆ

ช่องทางค้าปลีก หมายถึง ร้านขายสีและร้านขายอุปกรณ์ซ่อมบ้าน ช่องทางนี้สร้างรายได้ให้แก่บริษัท 73.9% บริษัทมีร้านค้าปลีกในเครือ 6,217 ร้าน ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วไทย ในต่างประเทศมีตัวแทนจำหน่ายถึง 1,854 ราย เฉพาะที่เวียดนามที่เดียวมีผู้ค้าปลีกรวมกันทั้งสิ้น 810 ราย

ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade)  เป็นร้านอย่างเช่น ไทวัสดุ, โกลบอลเฮ้าส์ เป็นต้น บริษัท TOA มียอดขายรวมจากช่องทางนี้ 15%

ช่องทางอื่นๆ เป็นการขายตรงให้กับโครงการ, การส่งออก ช่องทางนี้คิดเป็นรายได้ 11.1%

ข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือผู้ที่มาซื้อสีส่วนใหญ่ในไทย เกิดจากการทาสีบ้านใหม่ คิดเป็นยอดขายร้อยละ 75-80% และกลุ่มที่เป็นก่อสร้างที่อยู่อาศัยคิดเป็น 20-25% วงจรการทาสีบ้านใหม่ของคนไทยลดลงจาก 7-10 ปี ในปี 2554 เป็น 5-7 ปีในปี 2559 จากเรื่องนี้เองเราจึงเห็นว่าสีแบบเกรดพรีเมียม ขายดีมากเพราะว่าลูกค้าหลักของเขาซึ่งเป็นผู้อยู่อาศัยจริง ไม่ได้ซีเรียสเรื่องราคาเป็นหลักแต่สนใจเรื่องคุณภาพนั้นเอง

 

สิ่งที่น่าสนใจในงบการเงินของบริษัท

บริษัทมีกระแสเงินสดที่ดีมาก ดีจนน่าแปลกใจ บริษัทมีวงจรเงินสดติดลบ (Cash Cycle) 2 (วิธีการดูคือยิ่งน้อยยิ่งดี)  ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริษัทสามารถบริหารจัดการเงินสดได้ดีแค่ไหน สาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้เงินสดของบริษัทดีคือเจ้าหนี้การค้าให้เครดิตแก่บริษัทนานมาก

บริษัทมีหนี้น้อยมาก ไม่มีหนี้สินระยะยาวเลย หนี้ที่สำคัญมีเพียงก้อนเดียวคือเงินกู้ยืมระยะสั้น แต่จากแนวโน้มหนี้ค่อยๆลดลง อีก 2-3 ปีน่าจะหมด และจะกลายเป็นบริษัทปลอดหนี้

อัตราส่วนทางการเงินสวยงามเกือบทุกตัว ถ้าดูจากปี 2557 ไปยัง Q2 2560 อัตรากำไรขั้นต้นโตจาก 30.3 เป็น 35.0, กำไรสุทธิจาก 7.9 เป็น 11.5, ROA จาก 10.5 เป็น 18.7%, ROE จาก 35.4 เป็น 109.9

 

จุดแข็งของบริษัท

เรื่องของแบรนด์ สีทาบ้านสำหรับคนทั่วไปอย่างเราเป็นอะไรที่ต้องการความน่าเชื่อถือ เพราะว่าต้องใช้กันนานๆ ถ้านึกถึงสีทาบ้านแบรนด์แรกๆก็คือ คือ TOA, Super Shield, 4Season ซึ่งแบรนด์เหล่านี้ ผ่านการทำการตลาดและสร้างความน่าเชื่อถือมาอย่างยาวนาน จนทำให้บริษัทสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดในไทยได้ถึง 48.7%

ทีมผู้บริหารมีประสบการณ์ ทีมผู้บริหารทำธุรกิจนี้มาเกือบ 50 ปี ครองตลาดในไทยและบุกออกไปแข่งที่ต่างประเทศ สร้างเงินหลักพันล้านกลับประเทศได้ เรื่องนี้เราถือว่าผู้บริหารมีฝีมือมั่นใจได้

เรื่องของการวิจัยและพัฒนา เท่าที่ผ่านมาก็ถือว่าออกสินค้ามาใหม่เรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่ยุคแรกปลอดโลหะหนักชูเรื่องนี้เป็นจุดขาย ต่อมาก็มีเทคโนโลยีอะคริลิคทำให้สีคงทนกว่า, ต่อมาก็มี เรซิน ทำความสะอาดง่ายกันเชื้อรา หลังจากนั้นก็พัฒนามาเรื่อย เป็นใช้เทคโนโลยีนาโนซิลเวอร์และนาโนฟลูออโรคาร์บอน ทำให้สีสามารถป้องกัน น้ำ ฝุ่นและคราบสกปรก, TOA Extra Wet Primer ทาบนพื้นซีเมนเปียกได้, TOA Eco Metal สีรองพื้นกันสนิม ใช้ทาในอาคารมาตรฐานสีเขียว, TOA Note & Clean ป้องกันผิวจากคราบสกปรกและสีสเปรย์ต่างๆ และอื่นๆอีกมากมายที่ออกมาในแต่ละปี

 

แล้วเขาจะระดมทุนไปเพื่ออะไรโครงการในอนาคตเขาทำอะไรบ้าง?

TOA ปัจจุบันมีโรงงานอยู่ทั้งหมด 8 แห่ง แบ่งเป็นที่ไทย 3 แห่งและ เวียดนาม ลาว กัมพูชา มาเลเซีย เมียนม่าร์ ประเทศละ 1 แห่ง รวมเป็น 8 แห่ง รวมกำลังผลิตทั้งสิ้น 88 ล้านแกลลอนต่อปี ทาง TOA ต้องการขยายโรงงานเพิ่มขึ้นอีก 3 แห่งในประเทศ อินโดนีเซีย, เมียนมาร์ และประเทศกัมพูชา เพิ่มกำลังการผลิตอีก 14.5 ล้านแกลลอนต่อปี ทำให้มีกำลังการผลิตรวม 102.5 ล้านแกลลอนต่อปี

เรื่องอื่นๆที่น่าสนใจ

ต้นทุนวัตถุดิบของบริษัทคิดเป็น 66.3% ของต้นทุนขาย ซึ่งต้นทุนหลักของบริษัทจะแบ่งออกเป็น ผงสี, สารยึดเกาะ, สารเพิ่มเนื้อสี, สารทำละลายและสารเติมแต่ง ซึ่งส่วนที่น่าสนใจก็คือไทเทเนียมไดออกไซด์ (Titanium dioxide : TiO2) เป็นสารสีขาวถูกใช้มากในอุตสาหกรรมสี คิดเป็น 14.7% ของต้นทุนขาย และสารละลายบางตัวมีการผลิตมาจากน้ำมัน ซึ่งคิดเป็นต้นทุน 15-20% ของต้นทุนวัตถุดิบรวม ราคาของวัตถุดิบจะเคลื่อนไหวไปตามอุปสงค์และอุปทาน

 

ราคาหุ้นและมูลค่า

จากข่าวล่าสุด TOA น่าจะมีราคาหุ้นที่ 22-24 บาท

มูลค่าตลาด 44,638 – 48,696 ล้านบาท

PE ถ้าคำนวณจากกำไรปี 59 จะอยู่ที่ 17.8 – 19.4 เท่า

เปิดให้นักลงทุนทั่วไปจองซื้อหุ้น IPO วันที่ 27-29 กันยายน 2560 ผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทยและบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง