การที่มีบริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดนั้นก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีเพราะว่าจะมีอีกหนึ่งบริษัทมาให้เราร่วมลงทุนด้วย แต่ว่าประเด็นสำคัญที่เราต้องถามเสมอเมื่อบริษัทเข้าตลาดก็คือ “เอ็งมา (เข้าตลาด) ทำไม?” เพราะเหตุผลที่บริษัทเข้าตลาดนั้น มักจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของบริษัทรวมไปถึงผลกำไรและพฤติกรรมที่เจ้าของบริษัทจะแสดงออกมาด้วย
โดยปกติแล้วกระบวนการเข้าตลาดนั้นต้องเรียกว่า ยุ่งยาก, น่าเบื่อ, เสียเวลาและเสียเงินด้วย เพราะว่า ต้องมานั่งปรับโครงสร้างบริษัทให้เป็นไปตามกฎของตลาด, เวลาที่เตรียมเข้าตลาดก็นาน, จะทำอะไรก็ต้องอยู่ภายใต้ระเบียบของตลาดหลักทรัพย์, ความลับของบริษัทก็ต้องเปิดเผยให้สาธารณะรู้ เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าการเข้าตลาดไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
โดยปกติเหตุผลหลักๆที่เข้าตลาดนั้นมีด้วยกันหลายแบบคือ
-
เข้ามาเพื่อหาเงินไปทำโครงการอะไรบางอย่าง
อันนี้เป็นเหตุผลที่เราเจอบ่อยๆในตลาด โดยปกติบริษัทอย่างนี้มักจะมาพร้อมกันฝันที่ยิ่งใหญ่ แต่บังเอิญเงินที่มีไม่พอ เขาเลยมาเข้าตลาดเพื่อหาเงินไปลงทุน อันนี้คือลักษณะที่ดีของหุ้นที่เราน่าลงทุนด้วย ตัวอย่างของหุ้นอย่างนี้คือหุ้น Plat ที่เขามาพร้อมกับฝันที่ยิ่งใหญ่คือโครงการ The Market ของเขา ซึ่งโครงการนี้ใช้เงินลงทุนมหาศาลมากประมาณ 5000 ล้านบาท ก่อนเข้าตลาดเขาก็มองแล้วว่าเงินที่มีตอนนี้อาจจะไม่พอ การเข้าตลาดเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีกว่าผลคือเราได้เห็นเขาเข้าตลาดและมาพร้อมกับโครงการตัวนี้
-
โดนไล่เข้าตลาด
พวกนี้คือบริษัทที่ไม่อยากเข้าเลย แต่ว่าบังเอิญไปกู้เงินกับธนาคารแล้วไม่มีเงินใช้หนี้เขา ธนาคารเลยเดินเข้ามาตบไหล่แล้วบอกว่า เขาตลาดเถอะ หาเงินมาใช้หนี้ (ธนาคารไม่ยอมให้บริษัทเบี้ยวหนี้หรือกลายเป็น NPL อยู่แล้ว) อันนี้ก็มักจะเข้าตลาดมาแบบเศร้าๆ อย่าไปถามถึงแผนการในอนาคตเลย หาเงินใช้หนี้ลูกเดียวก็เหนื่อยละ
-
โดนอัญเชิญเข้ามา
พวกนี้ก็ไม่ได้อยากเข้าตลาดเหมือนกันแต่บังเอิญแพ้ลูกตื้อเลยเข้าก็ได้ ตัวอย่างเช่นบริษัทที่เข้าตลาดช่วงแรกๆที่เปิดตลาดหลักทรัพย์ใหม่ๆ ก็ไม่ได้อยากเข้าเท่าไหร่ แต่ตลาดหลักทรัพย์ไปเชิญเขาเข้ามา ผลคือ เมื่อใจเขาไม่ได้มาด้วยเราจะไปคาดหวังให้เขาทำอะไรแก่นักลงทุนก็ยาก
-
ธุรกิจกำลังจะถดถอย
แน่นอนเมื่อธุรกิจกำลังจะถดถอย เจ้าของจะเป็นคนแรกที่รู้ถึงสัญญาณนี้ เขาจะพยายามขายบริษัทออกมาเพื่อให้ได้ราคาดีที่สุด ส่วนหนึ่งก็คือหาเงินเข้าบริษัท อีกส่วนหนึ่งเราอาจจะเห็นเจ้าของขายปนๆออกมาด้วยเพื่อความมั่งคั่งของเจ้าของเขาเอง บริษัทอย่างนี้พยายามหนีให้ห่าง เพราะแน่นอนว่าราคาหุ้นกำลังอยู่ที่จุดสูงกำลังจะดิ่งลง
-
เพื่อความมั่งคั่งของเจ้าของ – ลูกหลาน
เราก็คงรู้ว่าบริษัทนั้นการที่จะบริหารงานให้ผ่าน 3 รุ่นนั้นเป็นเรื่องยากมาก อ้างอิงจากรายงานของ PricewaterhouseCoopers, Kudos Research และ Jigsaw Research กล่าวว่าการที่บริษัทจะสามารถส่งต่อให้ทายาทรุ่นที่ 3 และประสบความสำเร็จนั้นมีแค่ 12% และการส่งต่อไปให้รุ่นที่ 5 นั้นมีแค่ 1% เท่านั้น เขาเลยมาเข้าตลาดดีกว่า เพราะจะได้เรื่องของการปรับโครงสร้างขององค์กรและถ้ารุ่นลูกไม่อยากทำต่อเขาก็สามารถเลือกเป็นผู้ถือหุ้นอย่างเดียวก็ได้จ้างผู้บริหารเข้ามาบริหารแทนหรือขายออกไป ไม่ต้องเห็นบริษัทมาพังคามือและไม่ได้อะไร ส่วนเรื่องความมั่งคั่งอันนี้ก็แน่นอนเพราะว่า ในตลาดหุ้นมันมีสภาพคล่องสามารถที่จะซื้อขายได้ง่ายและประเมินมูลค่าง่ายกว่านอกตลาด และบริษัทในตลาดหลักทรัพย์มักจะซื้อขายกันแพงกว่าการซื้อขายปกติด้วย
-
เป็นช่องทางให้นักลงทุน Exit ออกจากบริษัท
อันนี้เราไม่ค่อยจะเห็นเท่าไหร่ในตลาดหุ้นไทย แต่ถ้าเป็นที่ต่างประเทศเราจะเห็นกันเยอะ บริษัทเหล่านี้คือบริษัทที่มีนักลงทุนไปลงทุนด้วย และเมื่อวันเวลาผ่านไปบริษัทเติบโต นักลงทุนพวกนี้ก็ต้องการเงินของเขาคืนเลยเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนกลุ่มนี้ได้ขายหุ้นออกไป