COL สรุปสั้นๆคือเขาทำธุรกิจ แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆก็คือ OfficeMate เป็นร้านขายเครื่องเขียน-อุปกรณ์สำนักงาน, B2S ทำร้านหนังสือและอุปกรณ์เครื่องเขียนและ MEB ที่ทำเกี่ยวกับร้านขายหนังสือ E-Book ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดมากถึง 63% บริษัทนี้เป็นบริษัทที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือเครือเซ็นทรัล (CPN) มีมูลค่าตลาดทั้งสิ้น 25,000 ล้านบาท
ร้านค้าทั้งหมดในปัจจุบันมีอยู่ทั้งสิ้น 169 ร้านค้า แบ่งออกเป็น officemate 67 สาขา, B2S 101 สาขา และอื่นๆอีก 1 สาขา Officemate ตอนนี้เปิดไป 3 ตั้งเป้าว่าจะเปิดสิ้นปีให้ครบ 5 แห่ง B2S ตั้งเป้าว่าจะเปิด 3 แห่งก็เปิดไปเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าทางบริษัทจะไม่มีแผนจะขยายมากแล้วจะขยายตามห้างเซ็นทรัลเป็นหลัก แต่จะไปเน้นที่แฟรนไชน์ เป็นมากว่า
ในแง่ของแต่ละธุรกิจของเขา
Officemate
– ยอดขายโต 7.6% จาก 1,682 ล้านบาท เป็น 1,815 ล้านบาท
– กำไรขั้นต้นโต 13.6% ส่วนนี้มาจากการขายสินค้าแบรนด์ของตัวเองโดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์
– Same Store Sales Growth โต 3.2% ก็ดีเป็นระดับเรื่อยๆ
– ช่องทางออนไลน์โต 53.1% (ออนไลน์นี้น่าสนใจ) ถ้าเกิดว่าเราคิดออกมาเป็นตัวเลขจะเห็นภาพชัด
– สินค้าที่ขายแบ่งเป็น ของใช้สำนักงาน 43%, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 39% เฟอร์นิเจอร์และอื่นๆอีก 18%
ปี Q3 2559 ออนไลน์ 53.8 ล้านบาท,โทรศัพท์ 597.2 ล้านบาท
ปี Q3 2560 ออนไลน์ 328.3 ล้านบาท,โทรศัพท์ 535 ล้านบาท น่าประทับใจในแง่ออนไลน์ เราต้องมาดูต่อไปว่าจะขยายไปได้ขนาดไหน
B2S
– ยอดขายเพิ่ม 1.1% Q3 รายได้โตจาก 976 ล้านบาทเป็น 987 ล้านบาท กำไรขั้นต้นโต 1.6% พูดง่ายๆคือไม่ค่อยโตเท่าไหร่ แต่ว่า SSSG ติดลบ 0.9% ก็คงเป็นไปตามเทรนร้านหนังสือ
– สินค้าที่ขายคือ เครื่องเขียน 49%, หนังสือ 25%, และสินค้าไลฟ์สไตล์ (เข้าใจว่าเป็นของกิน,ของใช้จุกจิกในร้านเขา) 26%
– ตัวนี้ไม่ค่อยโตเท่าไหร่ คิดเอาไว้ว่าคงนิ่งๆอยู่อย่างนี้ไป เพราะว่าสัดส่วนหนังสือเขาน้อยและไปขายเครื่องเขียนซะมากกว่า
MEB
การเงินมีอะไรน่าสนใจไหม
– รายได้โตจาก 10,035 เป็น 10,840 ล้านบาท โตประมาณ 8%
– กำไรขั้นต้นโต 8.6% มาจากการขายสินค้าแบรนด์ตัวเอง ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นโตจาก 24.7 เป็น 26.2%
– กำไรสุทธิโต 45.8% จาก 90 ล้านบาท เป็น 131 ล้านบาท เป็นผลมาจากการยุติการทำธุรกิจออนไลน์และคิดว่าใน Q4 น่าจะเห็นอะไรชัดเจนมากกว่านี้
แผนงาน
– คลังสินค้าสร้างเสร็จแล้ว 22,000 ตารางเมตร รองรับการเติบโต
– ขายสินค้า B2B เช่นอุปกรณ์ต่างๆให้พวกโรงงาน, โรงแรม, กลุ่มสุขภาพต่างๆ ส่วนตัว ไม่ค่อยมั่นใจในแผนนี้เท่าไหร่เพราะมันก็มีเจ้าตลาดอยู่แล้ว และกำไรไม่มากด้วย เข้าไปอาจจะขายได้แต่เหนื่อย
– Logistic Provider, B2B Marketplace ผ่านไปเพราะว่ายังไม่เห็นความชัดเจนเท่าไหร่
แฟรนไชน์ของ COL
อันนี้เป็นตัวชูโรงของเขาใน Oppday ครั้งนี้เลย เท่าที่ส่วนตัวจับใจความได้คือ ขายพวกอุปกรณ์สำนักงาน เครื่องเขียน เป็นร้านแบบเล็กๆ และก็จะให้ร้านพวกนี้ขายส่งเข้าไปในหน่วยงานและบริษัทต่างๆที่ทางร้านมีสายสัมพันธ์อยู่ รายละเอียดยังไม่มีอะไรมาก เพราะยังอยู่ในขั้นตอนการคุยรายละเอียดอยู่ โดยจะมีระบบ Logistic, การเงินอะไรให้ ปีหน้าจะขยาย 5-10 แห่งเพื่อทดสอบและถ้าดีจะขยายเป็น 100 แห่ง
อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับแฟรนไชน์ ส่วนตัวไม่ Wow เท่าไหร่ เหตุผลของเราก็คือ
* อุปกรณ์ของใช้ในสำนักงาน – เครื่องเขียน ไม่ใช่ตลาดที่เติบโตหวือหวามาก กลุ่มนี้เป็นสายโตเรื่อยๆตามเศรษฐกิจมากกว่า ผลคือมันจะไม่ดึงดูดคนให้เข้ามาทำแฟรนไชน์มากนัก
* ประเด็นเรื่องต้นทุนและการขายส่ง การทำแฟรนไชน์โดยบริษัทสินค้าให้และให้เขาไปขายส่งนี้มันขัดกันหน่อยๆ (มีตัวกลางคั่น) เราก็คาดเดาว่าร้านก็ต้องรับของจาก COL ที่ต้องบวกกำไรเข้าไปหน่อยอยู่แล้ว และในตลาดแบบ b2b นี้เป็นอะไรที่ต้องแข่งราคา ต่อให้ร้านค้าพวกนี้มีสายสัมพันธ์อันดีกับหน่วยงานต่างๆ แต่ถ้าราคาไม่ได้จริงๆเขาก็จะสู้ไม่ได้ในตลาดนี้ ยังไงเขาก็จะสู้พวกผู้ขายเจ้าเดิมที่คุยตรงกับบริษัทผู้ผลิตสินค้าไม่ได้ มันจะเป็นบ่อเกิดของปัญหามากมาย เช่น ร้านค้าแอบไปซื้อที่อื่นมาขาย (แน่ละของเหมือนกัน ซื้อที่ไหนก็ได้), ถ้าสัญญาล๊อกเอาไว้ บริษัทก็จะตีกันกับร้านและถ้าไปฟ้องเขาจริง เขาก็ประณามเสียๆหายๆแน่นอน ยิ่งโลกออนไลน์สมัยนี้มันเร็วและแรงมาก มันจะทำให้แฟรนไชน์ตัวนี้ไม่เกิด
* ยอดขาย ปกติของพวกนี้ราคาไม่แพงเท่าไหร่ ร้านไหนก็ได้ไม่ซีเรียส ยอดขายมันก็จะแชร์ๆกันไปในแต่ละร้านมันไม่ดึงดูด ให้คนมาซื้อร้านนี้
อันนี้เป็นของ COM7 ที่เคยได้ฟังดูละ wow มาก https://stocklittle.com/1865.html
และเรื่องน่าสนใจอีกเรื่องเป็นของขวัญสำหรับคนที่อ่านจนจบ